สอดสายสวนชนิดพิเศษเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจ และฉีดสารทึบรังสีเพื่อดูหลอดเลือดหัวใจว่ามีการตีบแคบที่จุดใด และมีระดับความรุนแรงแค่ไหน เพื่อพิจารณาให้การรักษาต่อไป 3.
0 2265 7777 แพทย์ผู้เขียน อายุรแพทย์โรคไต ให้คะแนนบทความนี้ [คะแนนบทความนี้: 3. 3]
งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนตรวจ 2. ผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด เช่น Aspirin, Clopidogrel มาก่อน 5-7 วัน หรือหากไม่ได้รับประทานยามาผู้ป่วยจะได้รับในวันที่ทำหัตถการขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ 3. หากมีประวัติแพ้ยา อาหารทะเล หรือเลือดออกง่ายและหยุดยาก ต้องแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบล่วงหน้า 4. หากมีประวัติการตรวจอื่นๆ เช่น ฟิล์มเอกซเรย์ปอดและหัวใจ ผลการตรวจเลือดที่ไม่เกิน 1 เดือน ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ผลการตรวจสมรรถภาพของหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (EST) หรือผลของการตรวจคลื่นสะท้อนหัวใจ (Echocardiography) ควรนำมาให้แพทย์ดูก่อน 5. ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเลือดเพื่อประเมินหน้าที่ของไต การตรวจเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสเอดส์ เป็นต้น 6. ควรนำยาที่รับประทานเป็นประจำติดตัวมาด้วย 7. ควรมีญาติมาด้วยเพื่อช่วยในการตัดสินใจร่วมกับแพทย์และผู้ป่วย 8. ผู้ป่วยต้องลงชื่อในใบยินยอมการรักษาก่อนการตรวจ ขั้นตอนทำการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด 1. แพทย์ทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณขาหนีบหรือข้อมือ จากนั้นจะฉีดยาชาเฉพาะที่และใช้เข็มเจาะหลอดเลือดแดงผ่านผิวหนัง 2.
ประณิธิ สาระยา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745
อุทัย พันธิตพงษ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านขยายหลอดเลือดหัวใจ
1772 ต่อ หัวใจ
ในกลุ่มผู้ที่ไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เริ่มต้นโดยให้ประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยตนเองก่อน หากมีความเสี่ยงดังข้างต้น สามารถตรวจหาได้เช่นเดียวกับผู้ที่มีอาการด้วยการตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test: EST) และวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ (Coronary CT Angiogram) โรคหลอดเลือดหัวใจถือเป็นภัยเงียบที่อันตราย ดังนั้นอย่าชะล่าใจ หากสงสัยว่าตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดมีอาการ หรือมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา ตรวจและรักษาได้อย่างทันท่วงที