ราคา 7. 99 ล้านบาท แต่คันที่เป็นหลายคนจับตามองมากที่สุด นั่นคือรถสปอร์ตคูเป้แบบปลั๊กอินดีไซน์สุดล้ำจากค่ายใบฟัดสีฟ้าอย่าง BMW i8 ซึ่งโชว์เหนือด้วยการใช้เครื่องยนต์ 1. 5 ลิตรร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดรวม 362 แรงม้า พร้อมตัวถังแบบคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาเพียง 1, 490 กก. ที่ทำความเร็วจาก 0-100 กม. ด้วยเวลาเพียง 4. 4 วินาที แถมยังประหยัดได้ถึง 40 กม. /ลิตร ซึ่งนอกจาก i8 แล้วบีเอ็มดับเบิ้ลยูยังเปิดตัวรถไฟฟ้าฉบับคอมแพ็คอย่าง BMW i3 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ที่ใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 170 แรงม้า เป็นตัวขับเคลื่อนซึ่งทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม. ได้ที่ 7. 2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 150 กม. ราคา 11. 899 ล้านบาท BMW i3 มีให้เลือก 2 รุ่น คือรุ่นมาตรฐานซึ่งใช้แบตเตอรี่ขนาด 22 กิโลวัตต์ สามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 130-160 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง กับรุ่นที่มีเครื่องยนต์ขนาด 650 cc. ให้กำลัง 34 แรงม้า สำหรับปั่นกระแสไฟฟ้าสู่แบตเตอรี่เพิ่มเติม และทำให้วิ่งได้ไกลขึ้นถึง 300กม. เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีรุ่นใหญ่อย่าง BMW X5 eDrive 40d เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในไลน์ของ SUV แบบปลั๊กอินที่มากับเครื่องยนต์ขนาด 2.
Plug-in Hybrid หรือ e-POWER ระบบไหนที่เหมาะกับการเป็นสะพานเชื่อมสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า?
0 ลิตร เจ้าของรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยม 3 สมัย ให้กำลังสูงสุดรวม 313 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม. เพียง 6. 8 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 210 กม. แถมยังประหยัดได้ถึง 31. 3 กม. /ลิตร ซึ่งบีเอ็มเคาะราคาไว้ที่ 5. 399 ล้านบาทเท่านั้น ปิดท้ายกับค่ายตราดาว Mercedes-Benz ที่เพิ่งเปิดตัวรถ PHEV พร้อมกัน 2 รุ่นคือ C350e ค่าตัวเริ่มต้นที่ 2. 99 – 3. 34 ล้านบาท สำหรับตัว 4 ประตู และ 3. 69 ล้านบาท ในรุ่น Estate AMG Dynamic ส่วนรุ่นใหญ่อย่าง S500e ค่าตัวอยู่ที่ 6. 39 ล้านบาทในรุ่น Exclusive และ 6. 99 ล้าน สำหรับ รุ่น AMG Premium โดย C350e จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1, 991 ซีซี กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5, 500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม. ได้ที่ 5. 9 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กม. /ชม. ส่วน S500e นั้นขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบบวี 6 สูบ 3. 0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดที่ 333 แรงม้า พร้อมแรงบิด 480 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS ทำอัตราเร่ง 0-100 กม. 2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม. พร้อมด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 8.
สีขาว Arctic White สีภายในแบบ 2-Tone Monaco Blue NEW MG HS PHEV _Arctic White 2. สีแดง Scarlet Red สีภายในสีดำ NEW MG HS PHEV _ Scarlet Red 3. สีดำ Black Knight สีภายในสีดำ NEW MG HS PHEV _ Black Knight ทั้งนี้ บริษัทฯ จะทยอยส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
/ช. ม.
เครื่องยนต์จะติดทุกครั้งเมื่อเริ่มต้นทำงาน โดยเฉพาะตอนเช้า เพื่อเช็คการทำงานและวอร์เครื่องยนต์ 2. แบตเตอร์รี่ควรถูกชาร์จจนเต็มเสมอ เพื่อให้รถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะคนที่ต้องการความประหยัดน้ำมัน 3. การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล่วนมีข้อจำกัดในเรื่องความเร็ว ไม่เกิน 120-130 ก. แล้วแต่ยีห้อ (โปรดศึกษารายละเอียดรถที่ใช้) 4. ผู้ใช้ต้องเสียค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน ในการใช้งาน แต่จะประหยัดค่าน้ำมันมากขึ้น 5. มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานดีมีประสิทธิภาพที่สุดคือในภาวการณ์ขับขี่ในเมือง ดังนั้นหากสรุปรถ ไฮบริดเสียบปลั้ก มันจะเหมาะกับ คนที่ใช้งานรถประเภทบ้านอยู่ชานเมืองขับเข้าเมืองที่สุด เพราะขับในเมืองใช้ไฟฟ้าในการขับขี่ ซึ่งระบบมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนการใช้งานเพื่อการเดินทางก็ยังมีความประหยัดที่น่าพอใจ เพราะประหยัดเทียบเท่ารถไฮบริด และหากคุณพอจะมีโอกาสชาร์จไฟเข้ารถในการเดินทางก็จะได้ความประหยัดมากกว่า เพราะสามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับใช้ความเร็วได้ เหมือนรถยนต์ไฟฟ้า เพียงมีระยะทางการขับขี่น้อยกว่าเท่านั้นเอง Comments comments
NewComer: NEW MG HS PHEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid พละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 ภายในเวลา 7.