จึง จบ, " กำหนดได้ว่า "เห็นผ้ากาสาวะ" ดังนี้แล้ว ดำริว่า "บัดนี้ แม้เราได้ผ้ากาสาวะย่อมควร, " เมื่อพระปัจเจกพุทธะรูปหนึ่งลงไปสู่ชาต- สระสรงน้ำอยู่(ชาตสระ สระที่เป็นของไม่มีใครขุดทำ. ) วางผ้ากาสาวะทั้งหลายไว้ที่ริมฝั่ง, จึงลักจีวรไป จับหอกนั่งคลุมโปง(สสีสํ ปารุปิตฺวา. )อยู่ริมหนทางที่ช้างเหล่านั้นไปมา. หมู่ช้างเห็นเขาแล้วจึงจบ ด้วยสำคัญว่า "พระปัจเจกพุทธะ" แล้วก็ผ่านไป. นายพรานช้างนั้นเอาหอกพุ่งถูกช้างตัวไปข้างหลังช้างเหล่า นั้นทั้งหมดให้ตายแล้ว ถือเอาส่วนต่าง ๆ มีงาเป็นต้น ฝั่งส่วนที่เหลือใน แผ่นดินแล้วไป. ในกาลต่อมา พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดช้าง ได้เป็น หัวหน้าช้าง เป็นนายโขลง. ถึงในกาลนั้น นายพรานช้างนั้น ก็คงทำ อยู่อย่างนั้น. พระมหาบุรุษทราบความหมดสิ้นไปแห่งบริษัทของตน จึงถามว่า "ช้างเหล่านี้ไปไหน? จึงเบาบางไป, " เมื่อเหล่าช้างนั้น ตอบว่า "ไม่ทราบ นาย" คิดว่า "ช้างทั้งหลายจะไปไหนไม่บอกเรา ( ก่อน) จักไม่ไป, อันตรายพึงมี" นึกสงสัยว่า "อันตรายพึงมีแต่ สำนักแห่งบุรุษผู้นั่งคลุมผ้ากาสาวะในที่แห่งหนึ่ง, " เพื่อจะจับบุรุษนั้น จึงส่งช้างทั้งหมดล่วงหน้าไปก่อน ส่วนคนมาล้าหลัง, นายพรานช้างนั้น เมื่อช้างที่เหลือจบแล้วเดินไป, เห็นพระมหาบุรุษกำลังเดินมาจึงม้วนจีวร พุ่งหอกไป.
พระมหาบุรุษคุมสติเดินมา ถอยกลับไปข้างหลังหู ลบหอกแล้ว. ทีนั้น จึงวิ่งแปรเข้าไป เพื่อจะจับนายพรานช้างนั้น ด้วยสำคัญว่า "เจ้าคนนี้ ให้ช้างของเราฉิบหายแล้ว. " นายพรานข้างนอกนี้ แอบบัง ต้นไม้ต้นหนึ่ง. ทีนั้น พระมหาบุรุษ เอางวงรวบเขาพร้อมกับต้นไม้ หมายใจว่า "จักจับฟาดลงที่แผ่นดิน. " ( ครั้น) เห็นผ้ากาสาวะที่เขา นำออกแสดง จึงยับยั้งไว้ ด้วยคิดเห็นว่า " ถ้าเราจักประทุษร้ายใน บุรุษนี้ไซร้. ชื่อว่าความละอายในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะและ พระขีณาสพหลายพันองค์ จักเป็นอันเราทำลายแล้ว. " ซักถามว่า "ญาติของเราประมาณเท่านี้ เจ้าให้ฉิบหายแล้วหรือ? " นายพรานช้างรับสารภาพว่า "จ้ะ นาย. " พระมหาบุรุษกล่าวว่า "เพราะอะไร เจ้าจึงได้ทำกรรมอันหยาบช้า อย่างนี้? เจ้าห่มผ้าไม่สมควรแก่ตน สมควรแก่ท่านผู้ปราศจากราคะ ทั้งหลาย เมื่อทำกรรมอันลามกเห็นปานนี้ ชื่อว่าทำกรรมอันหนัก. " ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะข่มขี่ให้ยิ่งขึ้น จึงกล่าวคาถาว่า " ผู้ใด มีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศจาก ทมะและสัจจะ จักนุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ผู้นั้นย่อมไม่ ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ส่วนผู้ใด พึงเป็นผู้มีกิเลส ดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลาย ประ- กอบด้วยทมะและสัจจะ, ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่ม ผ้ากาสาวะ.
คำคม [ แก้ไข] สุขุมพันธุ์ หรือ พงศพัศ คือผู้ว่ากทม.