วิธีเลือกซื้อ UPS ให้เหมาะกับการใช้งาน สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราต้องการต่อเข้ากับ UPS ว่าเราจะใช้มันสำรองไฟให้กับอุปกรณ์อะไรบ้าง ซึ่งในที่นี้เราจะยกตัวอย่างสองข้อหลัก ๆ ที่มักเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณเลือกที่จะหาซื้อ UPS มาใช้งานกัน 1.
ไฟเกิน ( Over Voltage) เป็นสภาวะที่แรงดันไฟฟ้ามีค่าสูงเพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลานาน โดยอาจจะมีสาเหตุต่างๆกัน เช่น เกิดจากตำแหน่งใช้งานที่ใกล้แหล่งจ่ายไฟฟ้า เกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เกิดจากการปลดโหลดขนาดใหญ่ออกจากระบบ การสวิตชิ่งตัวเก็บประจุเข้าระบบ หรือ การปรับ แทป ( Tab) ของหม้อแปลงไม่เหมาะสม เป็นต้น โดย " ลักษณะของแรงดันไฟเกินจะวัดได้จากการที่ค่าอาร์เอ็มเอส ( RMS) ของแรงดันในสายกำลังมีค่าเกินกว่า 242 - 264 V RMS ในช่วงเวลานานกว่า 1 นาที " ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่อใช้งานอยู่ให้มีคุณภาพเสื่อมลง และ มีอายุใช้งานสั้นลง ลักษณะของการเกิดไฟเกินแสดงรูปคลื่นได้ดังรูปที่ 1 2. ไฟตก ( Under Voltage) เป็นสภาวะที่แรงดันไฟฟ้ามีค่าลดต่ำลงเป็นระยะเวลานาน โดยอาจจะเกิดได้จากหลายสภาวะ เช่น การใช้กำลังงานไฟฟ้าจากแหล่งกำลังงานสูง ตำแหน่งใช้งานอยู่ไกลจากแหล่งจ่ายไฟฟ้า เกิดจากการต่อโหลดขนาดใหญ่เข้าสู่ระบบ การสวิตชิ่งตัวเก็บประจุออกจากระบบ เป็นต้น โดย " ลักษณะแรงดันไฟตกจะวัดได้จากการที่ค่าอาร์เอ็มเอส ( RMS) ของแรงดันในสายกำลังมีค่าต่ำกว่า 176 - 198 V RMS ในช่วงเวลานานกว่า 1 นาที " ซึ่งส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่สามารถทำงานได้ดี หรือ อาจจะดึงกระแสสูงขึ้น ( Overload) ทำให้เกิดความเสียหาย หรือ อายุใช้งานสั้นลง ลักษณะของการเกิดไฟตกแสดงรูปคลื่นได้ดังรูปที่ 2 3.
Standard UPS หรือออฟไลน์ UPS เป็น UPS ที่จะทำงานด้วยการรับพลังงานจากระบบไฟบ้านโดยตรง พร้อมทั้งจะมีการทำหน้าที่แปลงพลังงานไฟให้เป็นกระแสสลับและส่วนหนึ่งก็จะเอาไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ หากเกิดไฟฟ้าดับขึ้นมา UPS นี้ก็จะทำการจ่ายไฟฟ้าให้กับ Inverter ภายใน เป็นการแปลงกระแสไฟฟ้าเป็นกระแสสลับ นั่นก็คือไฟบ้านที่ใช้กันอยู่ภายในบ้านนั่นเอง เพื่อให้การทำงานของอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับ UPS นั้นยังสามารถทำงานได้อย่างเดิม แต่ UPS ชนิดนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในกรณีไฟฟ้าดับเท่านั้น เช่น กระแสไฟฟ้าที่ผันผวนหรือกระแสไฟฟ้าตกทำให้มีราคาที่ถูกกว่า UPS ชนิดอื่นๆ 2.