ประเมินก่อนให้การพยาบาล เพื่อเป็นสมมติฐาน และหลังให้การพยาบาล เพื่อประเมินผล 2. ควรประเมินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยประเมินทั้งขณะพักและขณะทํากิจกรรม 3. เลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และควรใช้วิธีเดียวกันตลอดการให้การพยาบาลนั้นๆ 4. เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีการรับรู้บกพร่อง หรือไม่สามารถสื่อสารได ควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากการประเมินอาจได้ข้อมูลไม่ครอบคลุมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด 5. มีการบันทึกเป็นหลักฐาน 6. หลีกเลี่ยงคําถามนําอันเป็นเหตุให้บดบังข้อเท็จจริง หรือคําถามที่กระตุ้นใหเกิดอารมณเศร้าเสียใจ บทบาทของพยาบาลกับการประเมินความปวด 1. สร้างสัมพันธภาพที่ดี ใช้คําพูดสุภาพ เข้าใจง่าย 2. ให้ความสนใจโดยเป็นผู้ฟังที่ดี และเชื่อในคําบอกเล่าของผู้ป่วย 3. ระหว่างการประเมินควรบันทึกพฤติกรรม แนวคิด สภาพอารมณ จิตใจ และบุคลิกภาพของผูป่วย เพื่อเป็นข้อมูล 4. ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถตอบข้อซักถามได อาจใช้วิธีสัมภาษณ์จากคนดูแลใกล้ชิด ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจถามจากบิดา มารดา หรือสังเกตพฤติกรรมและผลกระทบที่เกิดจากความปวด เช่น ผู้ป่วยที่ยังไม่รู้สึกตัวดี ครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เป็นต้น 5.
4 บอดี้ไดอาแกรม (bodydiagrams) คือการวัดโดยใช้ภาพวาดให้ผู้ป่วยชี้หรือเขียนลงในภาพวาดรูปคนแสดงตําแหน่งที่มีความปวดวิธีนี้บอกความรุนแรงไม่ไดแต่บอกตําแหน่งที่ปวดซึ่งสามารถอธิบายบริเวณที่ปวดว่ามากขึ้นหรือน้อยลงเหมาะสําหรับเด็กหรือผู้สูงอายุ 2. 2 การวัดระดับความรุนแรงของความปวดแบบหลายมิติ (multidimentional assessment) เป็นการประเมินความปวดหลายๆมิติที่ค่อนข้างละเอียด ไม่นิยมใช้ในทางปฏิบัติเนื่องจากใช้เวลามากส่วนใหญ่ใช้ในการทําวิจัยหรือต้องการข้อมูลเพื่อประกอบการรักษาพยาบาลเพิ่มเติมเครื่องมือที่ใช้วัด 2. 2.
การวัดความปวดโดยไม่ใช้เครื่องมือ ได้แก่ 1. 1 การบอกความรู้สึกด้วยคําง่ายๆ ( simple descriptive scales) เช่นพยาบาลอาจถามผูป่วยว่าขณะนี้ปวดไหมคะผู้ป่วยอาจตอบว่าไมปวดหรือปวดถ้าปวดพยาบาลก็จะถามต่อว่าปวดมากน้อยแค่ไหนก็จะได้คําตอบว่าปวดเล็กน้อยปวดพอทน ปวดมาก หรือปวดมากจนทนไม่ไหว เหล่านี้เป็นต้น 1. 2 การบอกความรู้สึกเป็นตัวเลข (numerical rating scales: NRS) เป็นการประเมินความปวดด้วยตัวเลขโดยพยาบาลจะบอกผู้ป่วยว่า ถ้า ไม่ปวดเลย แทนด้วยเลข 0 และ ปวดรุนแรงมาก แทนด้วยเลข 10 หรือ 100 อย่างใดอย่างหนึ่งให้ผู้ป่วยเลือกว่าปวดตอนนี้อยู่ที่เลขใด โดยทั่วไปจะพบว่าผู้ป่วยให้คะแนนความปวด (pain score) 1-2 คือ ยอมรับได 3-4 มีอาการปวดเล็กน้อยพอทนได 5-6 ปวดปานกลางบางครั้ง มากกว่า 6 ขึ้นไป ถือว่าควรได้รับการบําบัดรักษาอาจใช้ยาแก้ปวดร่วมด้วยซึ่งไม่ควรรอให้ถึง 10 หรือจนผู้ป่วยบอกว่าทนไม่ไหวเพราะการรักษาความปวดแต่เนิ่นๆเป็นวิธีการที่ถูกต้องและให้ผลดีทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ 2. การวัดความปวดโดยใช้เครื่องมือประกอบการวัด ได้แก 2. 1 การวัดระดับความรุนแรงของความปวดแบบมิติเดียว (unidimensional assessment) วิธีนี้เป็นการวัดความรุนแรงความปวดเพียงอย่างเดียวนิยมใช้ในทางปฏิบัติเนื่องจากวิธีการไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาค่อนข้างน้อยเครื่องมือนี้ได้แก่ 2.
เผยแพร่: 27 ก. พ. 2565 13:59 ปรับปรุง: 27 ก. 2565 13:59 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมะเร็งมดลูกเป็นโรงมะเร็งในผู้หญิงที่พบมากเป็นอันดับ 3 ในปัจจุบัน รองจากมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก มีข้อมูลพบว่าผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนจะมีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดนี้ได้สูงขึ้น แต่บ่อยครั้ง ที่พบในผู้หญิงอายุ 30-45 ปี ที่มีความผิดปกติของฮอร์โมนและมีน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน พญ.
Neonatal Infant Pain Scale (NIPS) สำหรับทารกแรกเกิดถึง 1 ปี ทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 1 ปี สามารถประเมินระดับความปวดได้โดยใช้ Neonatal Infant Pain Scale (NIPS) เมื่อประเมินระดับความเจ็บปวดด้วยวิธีนี้ แล้วรวบรวมคะแนน (จะสามารถรวมคะแนนความเจ็บปวดได้ตั้งแต่ 0-7 คะแนน) คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 4 บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีความเจ็บปวดต้องให้ยา 2. Face Leg Activity Crying Consolidation; FLACC Scales สำหรับผู้ป่วยเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปถึง 3 ปี และผู้ป่วยเด็กที่มีความผิดปกติทางสมอง เมื่อประเมินระดับความเจ็บปวดด้วยวิธีนี้ แล้วรวบรวมคะแนน (จะสามารถรวมคะแนนความเจ็บปวดได้ตั้งแต่ 0-10 คะแนน) โดย 0 = ผ่อนคลาย 1-3 = ปวดเล็กน้อย 4-6 = ปวดปานกลาง 7-10 =ปวดมาก 3.
หลังนักร้องหนุ่ม "เป้ วงมายด์" บดินทร์ เจริญราษฎร์ ได้ออกมาแจ้งข่าวว่า ลูกแฝดวัย 6 เดือน "น้องมิวสิค" และ "น้องลีริคส์" ติดโควิดตามกันไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเมื่อกลางดึกของวัน 5 มี. ค.
2 แบบสอบถามของแมคกิลลแบบย่อ ( short-form Mcgill pain questionnair: SF-MPQ) เป็นแบบสอบถามที่ดัดแปลงมาจากแบบสอบถามของแมคกิลล โดยมีการประเมินที่สั้นลงเพื่อใช้ในกรณีที่พยาบาลมีเวลาไม่มากนักแต่ต้องการข้อมูลมากกว่าความรุนแรงของความปวด ประเมินความรู้สึกทางระบบประสาท 2. 3 บัตรสอบถามความรุนแรงและความรู้สึกของผู้ป่วย (memorail pain assessment card) คือการประเมินความรุนแรงของความปวดโดยใช้บัตรคําในบัตรนี้มีการวัดผลการรักษาร่วมด้วย โดยเปรียบเทียบบัตรแต่ละใบลักษณะของบัตรจะเป็นกระดาษแข็งขนาด 8. 5 x 11 นิ้วแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นการถามระดับความรุนแรงของความปวด ส่วนที่ 2 เป็นการถามระดับของอารมณ์ผู้ป่วยขณะมีความปวด ทั้ง 2 ส่วนนี้ใช้วิธีวัดโดยวิช่วลอนาล็อกสเกล ส่วนที่ 3 เป็นการถามความรู้สึกของผู้ป่วยโดยการใชเวอร์เบลเรทติ้งสเกล และ ส่วนสุดท้าย เป็น การถามระดับความพอใจของระดับการบรรเทาปวด ใช้การวัดโดยวิช่วลอนาล็อกสเกลเช่นกัน 2. 4 การประเมินทางสรีระวิทยาและพฤติกรรมที่แสดงออกขณะมีความปวด (biobehavioral pain inventory) เช่นความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง ชีพจรเร็ว ร้องกวน หงุดหงิด กระสับกระส่าย หรือไม่ยอมเคลื่อนไหว และอื่นๆ วิธีนี้เหมาะสําหรับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่ยังไม่รู้สึกตัวดี หรือผู้ที่สื่อสารไม่ได้ เอกสารอ้างอิง - สุรศักดิ์ นิลกานุวงศ.
ถ้าระดับความปวดเพิ่มมากขึ้นทันที พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ เช่น ความดันโลหิตตก ชีพจรเบาเร็ว หายใจเร็ว หรือเหนื่อยหอบ ควรรีบรายงานแพทยเพราะอาจมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น การมีเลือดออกของอวัยวะภายใน ฯลฯ 6. ให้ยาแก้ปวดปริมาณสูงสุด หรือให้การพยาบาลแล้วความปวดไม่ลดลง ควรตรวจหาสาเหตุอื่น เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการพยาบาล หรือรายงานแพทย เพื่อปรับแผนการรักษา วิธีการประเมินความปวด การประเมินความปวดอย่างครอบคลุมจะเป็นพื้นฐานที่นําไปสูการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ข้อมูลที่จะนําไปประเมินเป็นข้อมูลที่ได้จาก 1. คําบอกเล่าของผู้ป่วย (patient self-report) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือไดมากที่สุด เพราะความปวดเป็นความรู้สึกส่วนตัว (individual or subjective) ที่ไม่มีใครสามารถบอกหรือบรรยายแทนกันได้ดีเท่าตัวผู้ป่วยเอง 2. การเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการ หายใจความดันโลหิต เหงื่อออก ตัวเย็น เหล่านี้ เป็นต้น 3. จากพฤติกรรมที่ผู้ป่วยแสดงออก เช่น การเคลื่อนไหว สีหน้า ท่าทางหรือการส่งเสียง การประเมินความปวด ( pain assessment)ที่ดีควรประกอบด้วยการวัดความปวด ( pain measurement) เพื่อให้ทราบถึงความรุนแรงว่ามากน้อยเพียงใด เพราะความปวดลักษณะเดียวกัน บางคนพอทนได บางคนทนไม่ได้ การวัดระดับความปวด มี 2 วิธี คือ 1.