การเข้ามาของมุสลิมในประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัย (พ. ศ. 1800-1921) นั้น มุสลิมอาศัยอยู่ในนครศรีธรรมราชตลอดจนถึงมะละกา และมีหลักฐานที่แสดงว่าในสมัยสุโขทัยนั้นประเทศไทยมีการติดต่อกับประเทศมุสลิม เช่น อินโดนีเซีย อาหรับทั้งนี้ในสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระเอกาทศรถ (พ. 2133-2148) ตำแหน่งเสนา-บดีทางการคลังและการท่าเรือนั้นนิยมใช้ชาวเปอร์เซีย ซึ่งก็ใช้กันเป็นประเพณีสืบต่อมาจนตลอดสมัยอยุธยาและธนบุรี 2. มุสลิมในภาคใต้มีความชำนาญในการใช้เรือ คนไทยทางภาคใต้รู้จักการใช้เรืออย่างชำนิชำนาญมากกว่าคนไทยในภาคกลางเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ การอยู่ติดลำน้ำและฝั่งทะเลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า ขุนนางเชื้อสายอาหรับมุสลิมมีความสามารถเป็นอย่างยิ่งในด้านกิจการค้าทางทะเล รับราชการได้ตำแหน่งเป็นเจ้ากรมท่าสังกัดกองทัพเรือเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นตำแหน่งสืบทอดแบบประเพณีจึงสันนิษฐานได้ว่าชาวมุสลิมในภาคใต้ความคุ้นเคยและชำนาญในการใช้เรือมาตั้งแต่สมัยโบราณและสืบทอดความชำนาญทางด้านการเดินเรือและการประมงให้แก่ลูกหลาน 3. ปรากฏเรื่องราวของเรือและในสมัยสุโขทัย จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พอสรุปและสันนิษฐานได้ว่าเรือกอและและการเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานในภาคใต้ตอนล่างของชาวมุสลิมและเนื่องจากชาวมุสลิมในภาคใต้มีความชำนาญพิเศษในการออกทะเลดังนั้นกลุ่มชนนี้จึงยึดอาชีพการประมงและเนื่องจากเป็นชาวพื้นเมืองที่มีทุนทรัพย์น้อย จึงมีการคิดประดิษฐ์เครื่องมือในการออกทะเลเพื่อทำการประมง ทำให้เกิด "เรือกอและ"ขึ้น สันนิษฐานว่าการวาดลวดลายจิตรกรรมบนเรือกอและน่าจะกำเนิดขึ้นเมื่อเกือบ 1 ศตวรรษที่ผ่านมาสืบเนื่องจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์ดังนี้ 1.
กลุ่มอิสระ มีอยู่ทั่วไปใน อ. ยะหริ่ง อ. ปะนาเระ และอ.
2542, 51 แสดงภาพทิวทัศน์ ที่มา: วุฒิ วัฒนสิน.
สุทธิชัย หยุ่น, เนชั่น, คมชัดลึก, กรุงเทพธุรกิจ, เนชั่นแชนแนล, เนชั่นเรดิโอ, Nation, BLOG, BLOGGER oknation, บล็อก, บล็อกเกอร์, ท่องเที่ยว, ประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร, วิเคราะห์, เจาะลึก, ข่าว, การเมือง, รัฐบาล, ทักษิณ, ชินวัตร, NGO, ประชาธิปไตย, Darknews, ดาร์กนิวส์, ดาร์คนิวส์, บทกวี, กลอน, เพลง, ฟุตบอล
ลักษณะภาพเขียน 1. เมื่อทำเรือกอและเสร็จแล้วจะใช้สี่น้ำมันทาให้เป็นสี่ต่างๆ ตามความต้องการ 2. นิยมทาเป็นแถบ ๆ มีสีฟ้า แดง เขียว มีการวาดลวดลายดอกไม้ และมีการพัฒนาลวดลายอื่นเข้าไป 3. ส่วนมากจะเขียนลวดลายด้วยสีฉูดฉาด ซึ่งเขียนเป็นลายไทยหรือลายอินโดนีเซีย 4. นำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเรือ และเริ่มเขียนลายไทยไม่ต้องร่างแบบ ใช้ปลายพู่กันป้ายสีวาดลวดลายไทยให้พริ้วไหว ลวดลายที่นำ มาตกแต่งบนเรือกอและได้แก่ 1. ลวดลายไทย 2. ลายกระจัง 3. ลายดอกพุดตาล 4. ลายประจำยาม 5. ลายหน้ากระดาษ 6. ลายรักซ้อน 7. ลายกนก ๓ ตัว 8. ลายกนกบัวคว่ำบัวหงาย 9. ลายน่องสิงห์ 10. ลายแข้งสิงห์ 11. ลายนกคาบ 12. ลายหน้ากระดาน 13. ลายเรขาคณิต 14. ลายพรรณไม้ 15. ลายอักษรประดิษฐ์ 16. ลายพรรณไม้แบบเถาเลื้อย 17. ลวดลายเรขาคณิต 1. จิตรกรรมที่นำมกแต่งบนเรือกอและ ได้แก่ ภาพสัตว์น้ำ เช่น ภาพปู ปลา กุ้ง ปลาหมึก 2. ภาพสัตว์ในจินตนาการจากประเพณีรูปนกในตำนาน เช่น ภาพนกกา เฆาะซูรอ เชื่อกันว่าเป็นการะเวกหรือนกสวรรค์ที่บินเทียมเมฆ ประดิษฐ์ให้มีหงอนสูง แตกออกเป็น ๔ แฉก - มีงาเงื่อนออกมาจากปาก หรือ บางลำวาดเป็นนก - บุหงา ซึ่งมีหัวเป็นนกตัวเป็นราชสีห์ ตามตำนานเล่าว่าเป็นนกที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ดำน้ำได้ ปากมีเขี้ยวงาหนุมานเหินหาวได้ เมฆขลาล่อแก้ว ตราหัวเรือทำเป็นรูป พญานาค 3.
สำหรับ ภาคใต้ทางตอนล่างอย่าง ปัตตานี นราธิวาส และในบางพื้นที่ของสงขลา นครศรีธรรมราช ไล่ไปจนถึงแหลมมลายู จะมี เรือประมงพื้นบ้านสำคัญนาม "กอและ" ที่เป็นการตกผลึกทาง ภูมิปัญญามานับแต่บรรพบุรุษจนเกิดการสร้างสรรค์เป็นนาวาศิลป์อันงดงามวิจิตร จนได้ชื่อว่าเป็น ราชินีความงามแห่งท้องทะเลในดินแดนปลายด้ามขวานของเมืองไทย รู้จักเรือกอและ "กอและ เป็นเรือที่โต้คลื่นลมทะเลได้ดี" อ. สมมาตร ดารามั่น ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมแห่งเมืองนราธิวาสให้ข้อมูลกับผม พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า "กอและ" มาจากคำว่า "ฆอและ" ที่มาจากภาษามลายูว่า "Kolek"(โกเล็ก) หมายถึงโคลงเคลง หรือล่องลอย เรือกอและถือกำเนิดขึ้นในสยามประเทศตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ในข้อมูลหลายแห่งสันนิษฐานว่า น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย(บ้างก็ว่ามีมาก่อนยุคสุโขทัย) ซึ่งเข้ามาพร้อมๆกับการเผยแผ่ศาสนาอิสลามและการเข้ามาตั้งรกรากของชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่างของไทย ก่อนจะสั่งสมภูมิปัญญาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดย แหล่งกำเนิดและสร้างสรรค์เรือกอและในภาคใต้ที่ยิ่งใหญ่ในอดีต คือที่บ้านตำบลปะเสยยะวอ อ. สายบุรี จ. ปัตตานี กอและเป็นเรือที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการสู้คลื่นลมแรงและสูงได้ดี คว่ำยาก เพราะมีแคมเรือลึก ในอดีตเป็นเรือหาปลาที่มุ่งออกทะเลลึกโดยอาศัย การกางใบ นับเป็นหนึ่งในสุดยอดความงามแห่งนาวาศิลป์ แต่หลังจากมีเครื่องยนต์เข้ามา ชาวประมงก็เปลี่ยนมาใช้เรือกอและติดเครื่องยนต์แทนเพื่อความสะดวก รวดเร็ว คล่องตัว เรือกอและมี 2 แบบ คือ กอและ "หัวยาว" กับกอและ "หัวสั้น" แต่ว่าในตอนหลังเรือกอและหัวยาวที่ทำให้หัวเชิดยาวขึ้นไม่เป็นที่นิยม จึงไม่ค่อยมีคนผลิต เรือกอและหัวยาวจึงหลงเหลืออยู่น้อยและหาดูได้ยากเต็มที นอกจากนี้ยังมีเรืออีกประเภทหนึ่งซึ่ง อ.
สมมาตรบอกกับผมว่า ไม่ใช่เรือกอและแท้ แต่เป็น"เรือท้ายตัด" ที่ถูกนำมาเขียนลวดลายแบบเรือกอและ "เรือหัวตัดจะสะดวกในการวางเครื่องยนต์ แต่จะวิ่งสู้คลื่นได้ไม่ดีเหมือนเรือกอและ(แท้ๆ) ทำให้ในช่วงหน้าฝน ช่วงมรสุม เรือกอและจะออกทะเลได้ไกลกว่า ดีกว่า ส่วนเรือท้ายตัดจะออกทะเลไกลๆที่มีคลื่นลมแรงลำบาก" อ. สมมาตร์อธิบาย อย่างไรก็ดีเหตุของการเข้าใจผิดของใครหลายๆคนที่คิดว่าเรือท้ายตัดเป็นเรือกอและแท้ๆนั้น อ. สมมาตร์ได้บอกว่าเนื่องมาจากภาพโปรโมทการท่องเที่ยวที่ถูกเผยแพร่ไปผิดๆ(อาจจะเพราะเข้าใจผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์) จากบางหน่วยงานที่ดูแลด้านการท่องเที่ยวของประเทศนี้ จนกลายเป็นภาพติดตาว่าเรือท้ายตัดคือเรือกอและ อย่างไรก็ดีในเอกสารนำเที่ยว จ. นราธิวาส ของ ททท. ปกล่าสุด(ปี 2555) ได้นำภาพเรือกอและแท้(หัวสั้น) มาขึ้นปกสื่อสะท้อนให้เห็นถึงวิถีวัฒนธรรมอันโดดเด่นของชาวนรา พร้อมกับบอกกำกับไว้ในปกหลังชัดเจนว่า คือ "เรือกอและ นราธิวาส" แต่ขณะที่ในแผนที่เที่ยว 3 จังหวัดชายแดนใต้ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา(ภาษาไทย-อังกฤษ) ของ ททท. อีกเช่นกัน ก็ได้นำรูปเรือท้ายตัดมาขึ้นปกโดยไม่มีคำกำกับ ซึ่งก็ทำให้ใครหลายๆคนเข้าใจผิดว่านี่คือเรือกอและ เพราะเมื่อนึกถึงเรือที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ตอนล่างดินแดนปลายด้ามขวาน คนส่วนใหญ่ต่างนึกถึง "เรือกอและ" กอและบางนรา ด้วยความผูกพันที่มีต่อเรือกอและมาช้านาน ทำให้ชาวนรา จังหวัดนราธิวาส ชูเรือกอและ เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของจังหวัด สำหรับแหล่งผลิตเรือกอและขึ้นชื่อในนรานั้นอยู่ที่หาดบ้านทอน หมู่บ้านทอน ต.