ลักษณะทางกายภาพ เปลือกโลกมีความหนาไม่เท่ากัน โดยเปลือกโลกภาคพื้นทวีปมีความหนาเฉลี่ยประมาณ ๔๐ กิโลเมตร เปลือกโลกภาคพื้นสมุทรมีความหนาประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เปลือกโลกมีสภาพเป็นของแข็ง ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหินและแร่ มีความหนาแน่นเฉลี่ยหรือความถ่วงจำเพาะประมาณ ๒. ๖ - ๒. ๙ ลอยตัวอยู่บนวัสดุที่มีความหนาแน่นมากกว่า คือ เนื้อโลก ซึ่งมีความถ่วงจำเพาะเฉลี่ยประมาณ ๓.
ข้ามไปเนื้อหา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี แผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่ [1] ชื่อ พื้นที่ 10 6 กม. 2 แผ่นแปซิฟิก 103. 3 แผ่นแอฟริกา [2] 78. 0 แผ่นอเมริกาเหนือ 75. 9 แผ่นยูเรเชีย 67. 8 แผ่นแอนตาร์กติก 60. 9 แผ่นอินโด-ออสเตรเลีย 47. 2 แผ่นอเมริกาใต้ 43.
การชนกันหรือเคลื่อนเข้าหากันจะทำให้เพลทใดเพลทหนึ่งมุดหัวทิ่มลงขณะที่อีกเพลทเงยหัวสูงขึ้น(ไม่ใช่ชนช้างนะ เรียกสภาวะแบบนี้ว่า convergent bounderies และมักทำให้เกิดเทือกเขาขนาดใหญ่ทอดยาวเช่นเทือกเขาหิมาลัย ถ้าเกิดในมหาสมุทรจะทำให้เกิดร่องลึกกลางสมุทร ( deep ocean trench) เป็นอาศัยของสัตว์ประหลาดและมนุษย์ต่างดาว 2. แบบที่เพลทเคลื่อนแยกจากกัน ( divergent bounderies) จะให้เกิดแนวหินใหม่ขึ้นบริเวณที่มีการแยก หรือที่เรียกว่าสันเขากลางสมุทร ( mid oceanic ridge) 3. แบบเคลื่อนที่ผ่านกันหรือเฉียด ๆ กันไปเหมือนรถสองคันที่วิ่งเฉียดกันไปนิดผิวแตะกัน แต่เพลทผ่านกันด้วยความเร็วเพียง 10-20 เซนติเมตร จึงไม่ก่อให้เกิดกรณีเฉี่ยวชนให้เป็นที่หวาดเสียวกันแต่ประการใด ยิ่งกรณีชนแล้วหนี ปาดหน้าในระยะกระชั้นชิดยิ่งไม่มี เปลือกโลกทวีปแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. ส่วนที่เป็นภาวะคงตัว คือส่วนที่เป็นภูเขาเก่าแก่ประกอบด้วยหินเก่าเป็นบริเวณที่มีมากกว่าส่วนที่ไม่คงตัว มีการเคลื่อนไหวน้อยมากตรวจดูหินจะมีอายุมากกว่าแบบภาวะไม่คงตัวแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ 1. 1 หินฐานทวีป เป็นส่วนฐานของทวีป อยู่ในระดับต่ำประกอบด้วยหินอัคนีและหินแปร เกิดจากหินเก่าแก่ พื้นที่เป็นเนินเขาระดับต่ำหรือที่ราบสูงระดับต่ำ แต่ก็อาจมีบางที่ยกตัวขึ้น 1.
งานวิจัยนี้และงานวิจัยอื่น ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เช่นเครื่องวัดคลื่นแผ่นดินไหวและคลื่นเสียงโซนาร์ทำให้มนุษย์เข้าใจความลึกลับของความลึกได้ดีขึ้นและดีขึ้นแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้. การอ้างอิง ผู้ท้าชิงสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเล (เอส. ฟ. ) ประวัติความเป็นมาของการเดินทางของผู้ท้าชิง สืบค้นจาก: Evers, J. (2015) เปลือก สมาคม Geografic แห่งชาติ สืบค้นจาก: วิทยาศาสตร์สุดขั้ว ( S. F. ) แนวกลางมหาสมุทร ดึงมาจาก: Lewis, R. (2009) การก่อตัวของเปลือกโลกมหาสมุทรเป็นแบบไดนามิกหลังจากทั้งหมด ใน: ข่าวจากบราวน์ สืบค้นจาก: บรรณาธิการสารานุกรมบริแทนนิกา (2014) เปลือกโลกมหาสมุทร สารานุกรม Britannica [รุ่นอิเล็กทรอนิกส์] ดึงมาจาก:
๙ ไมโครแคลอรี/ตารางเซนติเมตร/วินาที ส่วนบริเวณที่ราบริมขอบของทวีป เช่น บริเวณแอ่งที่ราบ และเทือกเขา (Basin & Range) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีภูเขาไฟและเขตเทือกเขาใหม่ พบว่า ค่าของการไหลร้อนสูงถึง ๒ ไมโครแคลอรี/ตารางเซนติเมตร/วินาที การไหลร้อนในพื้นทะเลก็มีสภาพที่แตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในบริเวณที่เป็นสันเขาใต้สมุทรมักมีค่าการไหลร้อนสูงประมาณ ๓ ไมโครแคลอรี/ตารางเซนติเมตร/วินาที และค่าจะลดลงตามลำดับ เมื่ออยู่ห่างจากสันเขาใต้สมุทรออกไป หรือใกล้เข้ามาทางขอบทวีป คือ เหลือประมาณ ๑. ๑ - ๑. ๙ ไมโครแคลอรี/ตารางเซนติเมตร/วินาที นักธรณีวิทยาได้ตรวจวัดอุณหภูมิภายในหลุมเจาะที่ขุดเจาะลึกลงไปในเปลือกโลก พบว่า อุณหภูมิใต้ผิวโลกลึกลงไปจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยประมาณ ๓ องศาเซลเซียส ในทุกๆ ๑๐๐ เมตร เราเรียกการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามความลึกของโลกว่า อัตราเพิ่มอุณหภูมิใต้พิภพ (geothermal gradient) โดยความร้อนภายในเปลือกโลก ที่ขึ้นมาสู่ผิวโลกมาจาก ๒ ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนหนึ่งมาจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีภายในเปลือกโลก และอีกส่วนหนึ่ง มาจากความร้อน ที่ลึกลงไปใต้เปลือกโลก